วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

พิธีชงชา


     ในหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งซึ่่งมีชื่อเสียงในปัจจุบันชื่่อ ชา โนะ ฮง (Cha no hon : หนังสือเกี่ยวกับพิธีชงชา)เขียนโดยนักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อ โอะกุระ เทนชิน (Okakura Tenshin)แปลโดย โอเกยะ ฮิเดอากิ (Okeya Hideaki) ได้เขียนสรุปไว้อย่างง่ายๆว่า "ซาโด" (Sadou)  คือ พิธีการชงชาที่มีพื้นฐานในการเคารพชื่นชมความงามที่มีอยู่ในสรรพสิ่งในวิถีชีวิตประจำของมนุษย์ที่วุ่นวายสับสน แต่เหตุใดชาซึ่งนำเข้ามาจากจีนในสมัยนาระ (Nara) จึงได้วิวัฒนาการมาเป็นชาโดวัฒนธรรมเอกลักษณ์ในญี่ปุ่น พิธีชงชาานี่เองจะแสดงให้เห็นแนวความคิดอันเป็นลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นๆ


ประวัติของพิธีชงชา

      ชาเริ่มมีการนำเข้าสู่ญี่ปุ่นในสมัยนาระโดยคณะทูต ต่อมาได้เสื่อมความนิยมไประยะหนึ่งแต่กลับมาแหร่หลายอีกครั้งในสมัยคามาคุระ (Kamakura) และในสมัยมุโรมาจิ(Muromachi)จากการที่มุราตะ  จุโก(Murata jukou) ภายใต้การอุปถัมถ์ของโชกุนอาชิ คางะ โยชิมาสะ (Asshikaga Yoshimasa)ได้ริเริ่มรูปแบบวาบิชะ (Wabicha : พิธีชงชาแบบเรียบง่าย) ในห้องขนาดสี่เสื่อครึ่งเป็นการยกระดับการดื่มชาให้มีฐานทางศิลปะสูงขึ้น และรู้จักกันในชื่อว่า ซาโด (วิถีทางแห่งชา) และผู้ที่ทำให้พิธีชงชาให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด คือ เซน โนะ ริกิว (Sen no Rikyuu) ในสมัยอาซึชิ-โมโมยามะ (Azuchi-Momoyama) เซน โนะ ริกิวเคยเป็นข้ารับใช้โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) แต่ภายหลังกลับเป็นปรปักษ์ ในปี ค.ศ.1591 เขาได้ทำอัตวินิบาตกรรมด้วย การคว้านท้องตามคำสั่งของฮิเดชิ  พิธีชงชาของเขาได้รับสืบทอดต่อไปยังลูกหลาย มี 3 คนได้ก่อตั้งสำนักเซนเกะขึ้น คือ โอโมเทะ เซนกะ (Omote Senke) อุระ เซนเกะ (Ura Senke) และ มุชาโกจิ เซนเกะ (Mushakouji Senke) จาก 3สำนักเซนเกะนี้ได้กำเนิดสำนักต่างๆ อีกมากมายสือต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ยาบุโนอุจิ (Yabonouchi) เองชู (Enshuu) โซเฮง (Souhen)  เป็นต้น ในสำนักต่างๆ เหล่านี้ อุระ เซนเกะซึ่งมีกลุ่มสันทนาการได้ออกไปสอนยังต่างปหระเทศหลังสงครามในทันที และมีบทบาทาทสำคัญยิ่งในการทำให้พิธีชงชาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

มารยาทและข้อพึงปฏิบัติ

     รูปแบบการจัดพิธีชงชามีแบบที่จัดในกลางแจ้งโดยเตรียมที่นั่งช่วคราวไว้ ในสวน ในอณาบริเวณภายในวัด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามพิธีชงชาจะต้องมีห้องพิธีชา และในห้องพิธีชาเล็กๆนี้เองที่ก่อกำเนิดวัฒนธรรมกรรมชงชาที่เรียกว่า เทมาเอะ (Temae) ลำดับการชงชา คือ เจ้าภาพจะใส่มัทชะ (Matcha : ชาสีเขียนป่น) ลงในถ้วยชา ตักน้ำจากหม้อต้มน้ำร้อน มาใส่ คนด้วยชาเซน (Chasen : ไม้คนชา) จนแตกฟอง วิธีดื่ม คือ ยกถ้วยชาขึ้นด้วยมือขวาวางลงบนฝ่ามือข้างซ้าย หมุนถ้วยชาเข้าหาตัว หลังจากดื่มเสร็จแล้วใช้ปปลายนิ้วเช็ดขอบถ้วยชาและใช้ไคชิ (Kaishi : กระดาษรองขนม) เช็ดนิ้ว แต่องค์ประกอบสำคัญของพิธีชงชาไม่ใช่เป็นเพียงการดื่มชา ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การชื่นชมคุณค่าและความงามของสิ่งต่างๆ เช่น ถ้วนชาหรือเครื่องใช้ในการประกอบพิธีชงชา การจัดแต่งห้องพิธีชงชา สถานที่กลางแจ้งที่ใช้ในการจัดพิธี สวน เป็นต้น และการสื่อประสานทางใจระหว่างเจ้าภาพกับแขก
     เซน โนะ ริกิวได้กำหนดกฎ 4 ข้อและแนวปฏิบัติ 7 ข้อที่พึงปฏิบัติในพิธีชงชาไว้ กฎ 4 ข้อได้แก่ ความสงบของจิตใจกับความเคารพเป็นกฎซึ่งเจ้าภาพและแขกต้องยึดถือ และความงามแบบเรียนง่ายกับบรรยากาศอันเงียบสงัดของห้องหรือสวนที่ประกอบพิธีชงชา แนวปฏิบัติ 7 ข้อเป็นสิ่งซึ่งเจ้าภาพควรปฏิบัติในเวลารับรองแขก ได้แก่ เสิร์ฟชาเมื่อแขกปราถนาจะดื่ม เตรียมถ่านให้พอเหมาะให้ต้มน้ำเดือด รับรองแขกให้อบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน จัดแต่งดอกไม้ตามธรรมชาติให้เหมือนกับอยู่ในท้องทุ่ง เริ่มในเวลาเนิ่นๆ ตระเตรียมอุปกรณ์กันฝนแม้ในวันที่ฝนไม่ตก และเอาใจใส่ดูแลแขกให้ทั่วถึงทุกคน นี่คือเคล็ด 7 ประการในการรับรองแขก

การจัดดอกไม้ของญี่ปุ่น

   
         อิเคบานะ (Ikebana) ถือกำเนิดขึ้นในสมัยมุโรมาจิ (Muromachi) เช่นเดียวกับพิธีชงชา ในฐานะคาโด (Kadou : วิถีทางดอกไม้) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัมนธรรมฮิงาชิยามะ (Higashiyama) ภายใต้การอุปถัมภ์ของโชกุนอาชิคางะ (Ashikaga Yoshimasa) ญี่ปุ่นที่พรั่งพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล  มีดอกไม้นานาชนิด อิเคบานะไม่ใช่เป็นเพียงการไปตัดเก็บดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตามท้องทุ่งมาประดับตกแต่งเท่านั้น แต่เป็นสิ่งแสดงแนวคิดของศิลปะแขนงหนึ่งกล่าวคือ เป็นศิลปะการจัดดอกไม้ที่นำความงดงามตามธรรมชาติมาปรากฎให้เห็น และมีโครงสร้างการจัดวางดอกไม้ในรูปแบบแสดงสวรรค์ โลก และมนุษย์ ซึ่งหลายสำนักที่ยึดถือแนวความคิดทั้งสองนี้เป็นหลักสำคัญ
           อิเคบานะได้พัฒนารูปแบบต่างๆ นานา ตามกาลเวลา รูปแบบที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันมีีริกกะ (Rikka) เซกะ (Seika) นาเงอิเระ (Nageire) และโมริบานะ (Moribana) กล่าวกันว่ามีสำนักจัดดอกไม้ราว 2,000-3,000 แห่ง สำนักที่ใหญ่ที่สุด คือ อิเกโนโบ (Ikenobou) มีลูกศิษย์หลายล้านคน สำนักที่รองลงมาคือ โอฮาระ (Ohara) และโซเทสึ (Sougetsu) เป็นต้น

ริกกะ

         อิเกโนโบ เซงเก (Ikenobou Senkei) เป็นผู้ริเริ่มจัดรูปแบบนี้ขึ้นในสมัยมุโรมาจิ (Muromachi) สำหรับเป็นดอกไม้ประดับตกแต่งที่โทโคโนมะ (Tokonoma : มุมประดับในห้องรับแขก) ใช้กิ่งสน ท้อ ไม้ไผ่ หลิว เมเปิล ไซเปรส เป็นต้น รูปแบบนี้ไม่จำเป็นต้องจัดใส่แจกันใด้ดอกไม้ดูดซับน้ำอย่างเซกะที่จะกล่าวต่อไป ที่ได้ชื่อว่า ริกกะ (ดอกไม้ทรงแนวตั้ง) ก็เนื่องจากเป็นการจัดดอกไม้กิ่งไม้ให้ชูช่อเจริญเติบโตขึ้น มีการใช้ลวดยึดดอกไม้ กิ่งไม้ต่างๆ ให้เข้ารูป สร้างสรรค์ให้เกิดทัศนียภาพที่งดงาม

เซกะ

          แต่ดั้งเดิมเมื่อพูดถึงการจัดดอกไม้ (แบบธรรมชาติ) จะหมายถึง การจัดดอกไม้แบบเซกะ เซกะกำเนิดขึ้นในช่วงกลางของสมัยเอโดะ (Edo) เป็นดอกไม้สำหรับรับรองแขก ส่วนใหญ่จัดวางไว้ที่โทโคโนมะ แตกต่างจากนาเงอิเระกับโมริบานะ คือ เซกะจะใช้แจกันเป็นสัญลักษณ์แทนโลกและพยายามแสดงให้เห็นพลังชีวิตของต้นไม้ต้นหญ้าที่เจริญเติบโตขึ้นมามากกว่าความสวยงามบางส่วนของต้นไม้ดอกไม้

นาเงอิเระ

          ชื่อนี้มาจากการจัดดอกไม้แบบ "โยนเข้าไป" ในแจกันทรงลึกสูงอย่างง่ายดาย ปล่อยให้ดอกไม้กิ่งไม้อยู่ในสภาพตามธรรมชาติ การจัดวางแจกันนี้ มี 3 แบบ คือ ติดห้อยลงมาจากเพดาลที่โทโคโนมะ แขวนไว้ที่เสา หรือวางไว้ที่โทโคโนมะ นาเงอิเระเริ่มจัดกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะเช่นเดียวกับเซกะ

โมริบานะ

         ชื่อนี้มาจากการจัดดอกไม้แบบ "กองพูน" โดยใช้แจกันทรงกลมแบนที่เรียกว่า ซุยบัน  (Suiban) หรือตะกร้า จากการที่มีการปลูกไม้ดอกและการสร้างอาคารบ้านแบบตะวันตกมากขึ้นในตอนปลายสมัยเมจิ (Meiji) จึงมีการคิดออกแบบจัดดอกไม้เป็นสิ่งประดับนอกห้องโทโคโนมะขึ้น สำนักโอฮาระ โซเงทสึ อาดาจิ (Adachi) เป็นต้น นิยมจัดดอกไม้แบบโมริบานะ จนกล่าวได้ว่า โมริบานะเป็นรูปแบบหลักในการจัดดอกไม้ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพที่อยู่อาศัยหลังสงครามโลก การสร้างบ้านเรือนแบบตะวันตกและมีห้องเล็กๆ ส่งผลต่ออิเคบานะด้วย รูปแบบการจัดดอกไม้แบบใหม่ๆ ซึ่งไม่ยึดติดกับหลักกา 

วัฒนธรรมญี่ปุ่น


กิริยาท่าทางของญี่ปุ่น


         ชาวญี่ปุ่นมีกิริยามารยาทอยู่หลายอย่างที่เป็นลัษณะเฉพาะของชาวญี่ปุ่น อีกทั้งมีความหมายและวิธีการแสดงออกที่แตกต่างจากวัฒนธรรมของประเทศอื่น 

 การโค้ง

         เป็นท่าทางการแสดงการทักทายขั้นพื้นฐานระหว่างชาวญี่ปุ่นด้วยกัน ในกรณีทักทายในท่ายืนจะยืนตรง เท้าชิดกัน โค้งลำตัวส่วนบนลงแล้วก้มศีรษะ  โดยอาจก้มแต่เพียงเล็กน้อยจนถึงก้มศีรษะทำมุม 90 องศาก็ได้ขึ้นอยู่กับระดับความสุภาพที่ต้องการแสดงออกกมาว่ามีมากน้อยเพียงใด สำหรับในห้องที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ(Tatami)จะทักทายในท่านั่งเสมอโดยนั่งพับเข่าลง ให้ก้นทับอยู่บนส้นเท้าหรือคือท่าเทพธิดา แล้วโค้งตัวไปข้างหน้า วางมือทั้งสองข้างชิดกันที่บริเวณหน้าเข่าแล้วก้มศีรษะลงไป
         การทักทายของชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะไม่มีการสัมผัสร่างกายกันอย่างเด็ดขาด การสัมผัสมือจึงไม่ใช่วัฒนธรรมการทักทายของชาวญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นจะสัมผัสมือทักทายกันเฉพาะกรณีพิเศษเท่านั้น  เช่น  คู่สนทนาเป็นชาวต่างชาติ  ผู้สมัครรับเลือกตั้งสัมผัสมือกับประชาชน  ดารานักร้องสัมผัสมือกับผู้ชม เป็นต้น
        

การนั่ง

        ในการใช้ชีวิตทั่วๆไป เช่น ที่โรงเรียนหรือบริษัทจะเป็นการนั่งเก้าอี้ทั้งสิ้น แต่ในกรณีอยู่ที่บ้าน ตามประเพณีนิยมของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะนั่งบนเสื่อทาทามิหรือนั่งบนเบาะร
องนั่งซาบุตง(Zabuton)แต่เนื่องจากครอบครัวชาวยี่ปุ่นส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้นิยมตกแต่งห้องนั่งเล่นและห้องอาหารเป็นแแบบตะวันตก  ทำให้คนหนุ่มสาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่นิยมนั่งเสื่อทาทามิแต่กลับนั่งบนเก้าอี้แทน
         ท่านั่งบนเสื่อทาทามอที่ถูกต้องคือท่าเทพธิดา(Seiza) เป็นท่านั่งทับขาให้เข่าอยู่ในระดับที่เสมอกันวางก้นลงบนส้นเท้า สำหรับผู้ที่ไม่เคยชินกับการนั่งท่านี้จะรู้สึกลำบากและอาจเกิดอาการเหน็บชาได้  ท่านั่งที่นั่งได้สบายกว่าท่าเทพธิดามีท่าขัดสมาธิ(Agura) และท่านั่งพับเพียบ(Yokosuwari)ท่านั่งขัดสมาธิ คือวิธีการนั่งโดยไขว้ขาไว้ข้างหน้าแล้วหย่อนก้นลงบนพื้น ท่านั่งขัดสมาธินี้เป็นท่านั่งสำหรับผู้ชาย  แต่ก็เป็นข้อยกเว้นสำหรับผู้หญิงที่นุ่งกางเกง  ซึ่งบางคนก็นั่งท่าขัดสมาธินี้  อย่างไรก็ตามผู้หญิงส่วนใหญ่จะนั่งท่าพับเพียบหรือก็คือท่าเทพธิดาที่เก็บปลายเท้าไปด้านข้างลำตัว